ห้าม คลุมดำ

ความเชื่อ หลังความตาย

ความรู้ที่ลี้ลับที่จิตสัมผัสได้ เป็นเรื่องของจิตวิญญาณในอีกระดับหนึ่ง ที่อยู่ต่างโลกต่างมิติ ไม่ใช่และไม่เกี่ยวกับศาสนา หรือคำสั่งสอนของศาสนา ที่เป็นเรื่องของมนุษย์กับพฤติกรรม ในสังคม และความรู้ที่ว่าไม่สามารถที่จะได้มาด้วยการปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของศาสนา ด้วยการเข้าวัดเข้าวา ด้วยการเป็นนักบวชหรือพระ แต่ได้มาจากการสัมผัสกับจักรวาลแห่งจิตจากภายในของแต่ละคน



เฮโรโดตัส บิดาแห่งประวัติศาสตร์ นักปราชญ์ชาวกรีก นับว่าป็นบุคคลแรก ที่ได้บันทึกการเดินทางและเรื่องราวต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ เป็นผู้เดียวที่ได้บรรยายความวิจิตรพิสดาร ของปิรามิดแห่งกูฟู ที่อียิปต์ และเปรียบเทียบกับหอคอยแห่งบาเบล ในเมโสโปเตเมีย ทั้งสองได้ถูกสร้างขึ้นในยุคใกล้เคียงกัน แต่น่าเสียดายที่หอคอยแห่งบาเบล เล่ากันว่า พระราชาได้บังคับเอาเลือดเนื้อของทาส และประชาชนผู้ยากไร้ มาก่อสร้างหอคอยที่วิจิตรพิสดารที่สูงเสียดฟ้า ด้วยความประสงค์ที่จะได้พบกับพระผู้เป็นเจ้า แต่พระเจ้าไม่พอใจ หอคอยแห่งบาเบลจึงได้ถูกทำลายไปเมื่อประมาณ 2,200 ปี เสียก่อน



ในระหว่างที่อียิปต์ในสมัยรัชกาลสุดท้าย เฮโรโดตัสบันทึกไว้ว่า รอบ ๆ บึงเล็กในอาณาเขตของวัดแห่งซาอีส อันเป็นสถานที่ต้องห้าม ในยามค่ำคืน พระและสานุศิษย์ได้สาธิตจำลองการเดินทาง และประสบการณ์ของเทพโซิริสผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์ นั่นคือ ประสบการณ์ของชีวิต การเกิด การตาย และการฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ ทั้งหมดเป็นศาสตร์ลี้ลับที่สุดของอียิปต์



นักประวัติศาสตร์โบราณเข้าใจ และพอที่จะอธิบายได้ดังนี้ ในรูปจำลอง ฟาโรห์แรมซีนีตัส ได้ถือกำเนิดมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง หลังจากที่เป็นพระอดีตกาลร่วมสามพันปีมาแล้ว จิตวิญญาณหลังจากออกจากร่างก็อยู่ในลักษณ์ โปร่งแสง เช่นรูปกายเดิม แต่รูปกายที่เป็นเนื้อหนังภายนอกผุพังเสื่อมสลายบ้างก็กลายเป็นร่างของพืช บ้างก็กลายเป็นร่างของสัตว์ต่างๆ หมุนเวียนเปลี่ยนสภาพในตลอดช่วงของเวลา 3,000 ปีนั้น ๆ ส่วนจิตวิญญาณก็ได้เดินทางไปในนรก รับโทษทัณฑ์จนหมดสิ้น ด้วยการกลับกลายเป็นสัตว์ชั้นต่ำจากชนิดหนึ่งเป็นอีกชนิดหนึ่ง ทนทุกข์ทรมาน เมื่อครบเวลา 3,000 ปี จิตวิญญาณก็เป็นอิสระ และรวบรวมเอาอนุภาคที่เป็นส่วนต่าง ๆ ที่เคยเป็นส่วนของร่างตนเองก่อนที่จะถึงแก่ความตายในอดีต ที่อยู่ในร่างใหม่และสถานที่ใหม่ต่าง ๆ กันเข้ามาไว้ด้วยกัน จากนั้นก็สร้างรูปใหม่ด้วยพลังงานที่เป็นเช่นนิสัย เหมือนพลังจิตที่นกใช้สร้างรังตน กลายเป็นร่างใหม่ และเกิดขึ้นมาใหม่



ตำนานที่เล่าถ่ายทอดสืบต่อกันมาจากอดีตที่ยาวนานของชนเผ่า และเชื้อชาติต่าง ๆ ทั่วโลก มีบันทึกไว้มากมาย น่าแปลกใจที่ไม่ว่าจะเป็นนิยายปรัมปราของชนเผ่าไหนก็ตาม เนื้อหาสาระที่เป็นประเด็นหลัก ล้วนคล้าย ๆ หรือ เหมือนกัน ในเรื่องของเจ้าเข้าทรง หรือการนั่งทางใน เป็นศาสตร์ที่แม้ว่าบางคนจะถือเป็นเรื่องของไสยศาสตร์ที่ไร้เหตุผล แต่ก็ไม่มีใครสามารถนำเหตุผล และความเป็นวิทยาศาสตร์มาตอบได้



ชนเผ่าพื้นเมืองในออสเตรเลียตะวันตก มีวิธีติดต่อกับคนที่ได้ตายไปแล้ว ด้วยวิธีการเข้าทรง ด้วยการสะกดจิตตนเอง และสามารถเดินทางไปพบกับผู้ตายในปรโลก ทั้งยังสามารถพูดคุยไต่ถามเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องส่วนตัวที่เกิดขึ้นกับผู้ตาย หรือตอบคำถามญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างถูกต้อง ชนเผ่าอินเดียนแดงแห่งลุ่มแม่น้ำเอมะซอน เปรู เผ่าดั้งเดิมมากเผ่าหนึ่ง เชื่อว่า เผ่าคอนนิโบ ได้มีการเข้าทรงเจ้า จากการศึกษาโดย ไมเคิล ฮาร์เนอร์ นักโบราณคดีแห่งพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งอเมริกา ด้วยการที่เขาต้องยอมเข้าเผ่าโดยดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สกัดจากพืชชนิดหนึ่ง หลังจากดื่ม สักครู่หนึ่งเขาก็รู้สึกเหมือนฝันไปว่าเขาได้ล่องลอยตัวผ่านมาสู่สถานที่แห่งหนึ่งที่เป็นที่อยู่ของเทวดา และภูตผีปิศาจ ปิศาจบางตัวมีหัวเป็นจระเข้กำลังอ้าปาก เขาได้เห็นสสารที่เป็นพลังงานของตนเอง ออกจากร่าง ลอยไปยังเรือที่มีหัวรูปมังกร บนเรือมีร่างมนุษย์ที่แต่งตัวเหมือนชาวอียิปต์ แต่มีหัวเป็นนกกางเขนหลายตน ทันทีเขาก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตายไปจากโลกอย่างช้า ๆ ขณะนั้นเองเขาก็เห็นมังกรตัวน้อย ๆ มีปีก พากันมุดออกมาจากกระดูกสันหลัง และติดต่อกับเขาทางกระแสจิต บอกว่า แท้จริงแล้ว พวกมัน มังกรน้อย ๆ ทั้งหลายนั่นเองที่เป็นผู้ให้กำเนิดแก่ทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นพิภพแห่งดาวเคราะห์ดวงที่เรียกว่าโลกนี้



แคลไวท์เชื่อว่า ในสังคมของชนที่พวกชาวตะวันตกถือว่าเป็นชนที่ไร้อารยธรรม มนุษย์ยังมีความผูกพันธ์กับธรรมชาติและจิตเป็นอิสระ ไม่ถูกจำกัด หรือถูกบังคับไว้ภายใต้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทางกายภาพ ที่เป็นวัตถุ จิตที่เป็นอิสระจึงสามารถติดต่อกับโลกแห่งจิตที่แท้จริงแล้ว ก็เป็นโลกแห่งความจริงในอีกมิติหนึ่ง ความเห็นของแคลไวท์ดูอธิบายความคล้ายคลึง ของผู้ที่มีประสบการณ์การพบเห็นหรือฝัน ภูตผีปิศาจ และเทวดาที่มักจะเกิดกับผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติมาตลอด และมีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ต้องดิ้นรนแสวงหาวัตถุกันจนสมองไม่มีเวลาว่าง มีความผูกพันธ์กับความเป็นความตายด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ คนที่อยูในชนบทตามชายป่าชายเขา ไม่ว่าที่ใด หรือคนที่เชื่อในสิ่งลี้ลับ จึงมักมีโอกาสที่จะพบเห็นสิ่งเหนือธรรมชาติ เจ้าที่ ผีสาง นางไม้ ได้มาก และบ่อยกว่าคนที่อยู่ในเมือง ผู้ร้อนรน และรีบเร่งในการดำรงชีวิตเป็นประจำวันกับตนเอง และครอบครัว จนจิตถูกบังคับอย่างสิ้นเชิง จึงยากนักที่คนในเมืองโดยทั่วไปสัมผัสกับปรากฏการณ์ทางจิต เรื่องของความตาย และสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความตาย คนที่ไม่เชื่อเรื่องเช่นนี้ แม้บางคนที่เกิดอยากจะเชื่อ อยากจะเห็นก็ยากที่จะสมประสงค์



ที่มา : ชีวิตหลังตาย วิเคราะห์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดย นายแพทย์ประสาน ต่างใจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น